Mar-2018
road trip สุมาตราเหนือ
road trip สุมาตราเหนือ
เส้นทาง ลงเครื่องที่ Medan – เทรคกิ้งภูเขาไฟซิบายัค ที่ Berastagi – ชมน้ำตกสูง Sipiso-piso waterfall และขับรถเลาะเรียบ Lake Toba – ข้ามฟากสู่เกาะ Samosir – กลับ Medan 4D3N
นี่เป็นการเยือนประเทศอินโดหนแรก และก็ไม่ได้เยือนเมืองฮอตฮิตติดลมบน ขอไปเริ่มต้นยังดินแดนเกาะสุมาตรา เกาะที่ยังไม่ค่อยดังเท่าไหร่ เกาะใหญ่อันดับหนึ่งของอินโดฯ ใหญ่อันดับ 6 ของโลก road trip เช่ารถขับตะลอนๆ อยู่ในจังหวัดๆ หนึ่งทางตอนเหนือของเกาะ จังหวัด North Sumatra ครับ อยู่ถัดลงมาจากจังหวัดอาเจะ อยากจะบอกว่า สุมาตราเหนือ มันเหลือเชื่อมาก
1.) ใกล้เหลือเชื่อ ผมบินแค่ 1.40 ชั่วโมงเอง ทั้งไปและกลับ จับเวลามาแล้ว
2.) ภูเขาไฟเยอะเหลือเชื่อ เกาะนี้ยาว 1,7xx โล มีภูเขาไฟตลอดความยาวของเกาะ 33 ลูก บร๊ะ ห้อยเป็นติ่งอยู่เกาะเล็กๆ เหนือสุดของเกาะอีกลูกนึง เป็น 34 ในจำนวนนี้คือภูเขาไฟเป็นๆ เพียบ ดังที่สุดที่ปะทุอยู่แทบทุกวันจนเป็นข่าวตอนนี้คือ mount Sinabung เมื่อวานก็ปะทุ ล่าสุดปะทุใหญ่เมื่อ 20 กพ. ข่าวตามนี้ https://www.thairath.co.th/content/1208848
3.) ทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ สวยโหดเหลือเชื่อ ความยาวทะเลสาบกว่าร้อยโล ใหญ่เป็นอันดับสองของอาเชียน เป็นรองเพียงโตนเลสาบของกัมพูชา แต่ความสวยงี้ยังกะเกาะใต้นิวซีแลนด์
4.) ขับรถกันได้ยุ่งเหยิงเหลือเชื่อ น่าจะเป็นรองแค่อินเดียประเทศเดียว 555
5.) และถูกเหลือเชื่อ ทั้งทริป 4D3N ใช้เงินไปเพียงเก้าพันบาท นี่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ค่าเช่ารถ ค่ากิน ค่าที่พัก ค่าทุกสิ่งทุกอย่างไว้ละ ข้อสุดท้ายนี่แหละที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับคนงบน้อยอย่างผม และเชื่อว่าอีกหลายๆ คน
ปะปะ ไปกัน
ข้อมูลการเดินทางมีคร่าวๆ ดังนี้
1 บินไปกลับด้วยสายการบิน แอร์เอเชีย มีไฟล์ทบินไปกลับวันละเที่ยว ไป 12.45 กลับ 10.10
2 เวลาสุมาตรากับไทย ใช้โซนเวลาเดียวกัน
3 ค่าเงินอินโดเทียบกับไทย ประมาณ 1แสน IDR = 230 บาทไทย
4 วีซ่าไม่ต้อง
5 สัญญาณเนทมีทั่วตลอดทริป ความแรงประมาณ 3G
6 เช่ารถขับตลอดทริป นัดรับส่งรถที่สนามบิน ค่ารถ 3 วัน 105 USD เป็นเก๋ง 6 ที่นั่ง เฉลี่ยวันละ 35 หรือประมาณ 1,100 บาท
7 ค่าน้ำมันลิตรละ 19 บาทโดยประมาณ
8 ค่าที่พัก สามที่ สามคืน แทบจะเท่ากันหมด คืนตกคืนละ 6xx บาท นอนห้องละสองคนก็หารกันคนละ 3xx บาท ถูกและดี
9 ค่ากิน แวะกินกันรายทาง ค่ากินพอๆ กับข้างทางประเทศไทย อาหารตามสั่งตก 30-40 บาท มื้อนึงนี่จ่ายกันคนละ 50 ประมาณนี้
10 จ้างรถ4WD และคนนำทางขึ้นภูเขาไฟ Sibayak คิดคชจ.คนละ 500 บาท จ่ายเป็นเงินไทยได้
หมดแล้วครับ ที่เหลือต่อจากนี้จะน้ำๆ และรูปเยอะหน่อย
DMK – KNO เรา 4 คนรวมตัวกัน ออกทริปนี้ 4D3N บินจากดอนเมืองไฟล์ท 12.45 ได้ตั๋วค่าไป 2xxx ขากลับ 1xxx รวมไปกลับ 3,458 บาท
ระยะทางบิน 1,100 กว่ากิโลเมตร ตารางบินบอกใช้เวลาสองชั่วโมง แต่บินจริงๆ ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น
เกาะสุมาตราอยู่ห่างไทยนิดเดียว ถ้าขึงเส้นตรงจากแหลมพรหมเทพ เกาะภูเก็ต ลากไปหาสนามบิน KNO Kualanamu เมือง Medan เมืองหลวงของจังหวัดสุมาตราเหนือ ระยะทางใกล้เหลือเชื่อ 470 โลแค่นั้น และถ้าลากเส้นตรงจากเกาะหลีเป๊ะ เกาะที่อยู่ใต้สุดของไทย ระยะทางจะเหลือเพียง 320 โลเอง จิตนาการดูว่ามันโคตรใกล้แค่ไหน ใกล้กันเพียงแค่ลัดฟ้าข้ามช่องแคบมะละกา แต่เมื่อไปถึง ภูมิประเทศที่ไปเจอมาในทริปนี้กลับแปลกตายังกับอยู่กันคนละมุมโลก
ท่าอากาศยาน Kualanamu Internation Airport (KNO)
สนามบินใหญ่อันดับ 2 ของอินโดนีเซีย
อยู่นอกเมืองเมดัน เมืองหลวงของจังหวัดสุมาตราเหนือ ห่างตัวเมือง 39 กิโลเมตร
15:15 คือเวลาที่เรา landing และเข้าสู่อาคารผู้โดยสารขาเข้า เครื่องออกเลทนิดหน่อย ก็เลยมาถึงเลทนิดหน่อย
เลทไปครึ่งชั่วโมง จับเวลาบินไว้ได้ 1:40 ชั่วโมง
มาอินโดนีเซียครั้งแรก ตอนแรกก็สงสัยว่าอินโดเค้าจะใช้ time zone อะไรเพราะประเทศก็กว้างใหญ่เหลือเกิน อินโดนี่เป็นประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้โซนเวลาถึง 3 time zone สำหรับเกาะสุมาตราที่เรามาถึงนี้อยู่ time zone เดียวกับไทย คือ UTC+7 ส่วนที่ผมระบายม่วงเข้มไว้คือพื้นที่ของจังหวัดสุมาตราเหนือ มีเมดันเป็นเมืองหลวง
ผ่านตม.ออกมาแล้วก็หาซื้อ sim ในหนามบินเลย เจอยี่ห้อ Telkomsel เจออยู่สองบูท ภายในตัวอาคารผดส. และบูธลอย นอกอาคาร
ค่าซิม+แพ็คอินเตอร์เนท มีแบบ 4GB และ 8GB เราเลือก 4GB ใช้ได้ประมาณ 1 week ถ้าจำไม่ผิด ราคาเทียบเป็นเงินไทย สองร้อยบาท ราวๆ นี้
พอเปลี่ยนซิมเสร็จ เมล์ก็เด้งเข้ามาทันทีจากรถเช่า บอกให้มารอเจอกันหน้าบูธลอย telkomsel ด้านนอก ใกล้ๆ กันกับลานจอดรถ
รับรถแล้วก็จ่ายตังค์สดกับเลย ค่าเช่าทั้งหมด 105USD
เราใช้บริการรถเช่าเจ้านี้ http://www.medanrentcar.com/
ระบุตอนเช่าว่าขอรับรถและคืนรถที่สนามบินอ้อ ใครตามรอยมา ตอนรับรถถามหาใบผ่านทางให้ดีนะครับ ตอนออกจากหนามบินเจอด่านเก็บเงิน ไม่มีใบนี่โดนปรับ ผมเกือบโดนปรับละ ค่าปรับแพงมาก คนส่งรถก็ไม่บอก ทำหล่นไว้พื้นรถอีกต่างหาก โชคดีตาเหลือบไปเห็นเข้า ตอนที่ติดอยู่ด่านชำระเงินก็ได้รู้พิษสงมารยาทการขับขี่ของคนที่นี่ละ แม่ม บีบแตรไล่แบบไม่ลดราวาศอกเลยพับผ่า จนจนท.ด่านต้องโบกให้เราเข้าข้างทาง ค่าผ่านทางเทียบเป็นเงินไทยแค่ห้าบาทสิบบาท แต่ค่าปรับนี่ร่วมพัน
นี่ครับ ด่านเก็บเงินเข้าออกสนามบิน ห่างจากเทอร์มินอลออกมา 3.8 โล
พอผ่านด้านมาได้ ก็เจอกับสภาพจราจรที่โคตรติด แทบไม่มีโอกาสยัดถึงเกียร์3 เลยครับ ค่อยๆ คลาน อ้อ ลืมบอกไปอีกอย่าง น้ำมันในถังนี่แทบเป็นถังเปล่าเลยครับ ไม่ได้ใส่มาให้เต็มเหมือนที่คุ้นเคย
จุดหมายปลายทางของวันแรกเราอยู่ที่ เมือง Berastagi ห่างจากสนามบินไป 95 กิโลเมตร ทางส่วนใหญ่จะขึ้นเขา เมืองนี้อยู่บนภูเขาสูงพันกว่าเมตร ใช้เวลาขับตามกูเกิลบอกคือสามชั่วโมงกว่าๆ จริงตามนั้นนะครับ รถติดตลอดทางอย่างเหลือเชื่อ ตามภูเขานี่ติดตลอด ทำความเร็วกันได้เพียง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ติดหนักที่สุดคือทางออกจากสนามบินเราต้องผ่านเข้าใกล้เมืองเมดาน ยิ่งเฉียดเมืองก็ยิ่งติด
ช่วงเข้าเขตเมืองเมดัน กูเกิลแม๊บนำทางเข้าหา toll road ทางเสียตังค์ เราเลือกทันที มันเป็นบายพาสสั้นๆ ระยะทางเพียง 6 กิโลกว่า สั้นมาก แต่เดาแล้วว่าสั้นขนาดนี้เค้ายังทำทางเสียตังค์ให้แสดงว่าทางธรรมดาติดนรกแน่นอน ทางพิเศษนี้วิ่งเข้าไปต้องยื่นมือไปเอาบัตรแตะ อ่าว ห่าจวก ไม่มีบัตร ไม่มีคนรับเงินสด รถคันหลังบีบแตรรัวๆ ใส่อีก โดนเรียกจอดข้างทางตามเคย แล้วจนท.ด่านก็ให้ซื้อบัตร เหมือนๆ อีซี่พาส ค่าบัตรแพงหน่อย แค่ค่าผ่านทางเนี่ยถูกกว่าทางด่วนบ้านเราหลายเท่า
ด่านที่ว่า ด่านนี้คือออกมาจากสนามบิน 19 โลจะเจอ
แวะเติมน้ำมันกัน
Pertamax คือเบนซิลพิเศษ , Pertalite คือเบนซิลธรรมดา เติมตัวไหนก็ได้
40 กิโลครับ ขับไป 2 ชั่วโมงเพิ่งมาได้แค่นี้ เพิ่งจะพ้นเขตเมืองเมดัน หกโมงเย็นแล้ว ได้เวลาหิว เราก็ชลอความเร็ว (มันเร็วที่ไหน) หาร้านข้างทางหน้าตาดีดีแวะกิน
วิธีสั่งก็คือชี้ๆ เอา ข้าวราดครับมื้อแรกนี้ พอเลือกเสร็จเค้าก็ถามว่าจะราดหม้อไหน คือจะมีน้ำแกงให้ราดหลายแบบ ผมเลือกแบบที่คุ้นหน้าที่สุด คล้ายๆ น้ำข้าวหมกไก่ สรุปรสชาติมื้อแรกดีต่อใจ อาหารคล้ายไทยพอสมควร
ค่าเสียหายมื้อนี้ 4 คน 4 จาน น้ำด้วย จ่ายไป 86,000 idr คิดเป็นเงินไทยก็ 188 บาท ตกคนละ 47 บาท
เกือบสามทุ่มครับ เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางจนได้ สินะ 95 กิโล 4 ชั่วโมงครึ่ง แวะกินข้าวแป๊บนึง สยองขวัญมาก 555
คือจะเล่าให้ฟังว่าตลอดทางที่ขึ้นเขามานั้น มันเหลือเชื่อมากที่มีรถเต็มตลอดเส้นทาง ถนนสองเลนสวน รถเยอะทั้งไปกลับ ที่สังเกตอีกอย่าง รายทางนั้นแทบไม่มีที่เปลี่ยวนะครับ มองเห็นบ้านคนตลอดทาง
Berastagi Nachelle homestay
gps: 3°10’41.5″N 98°30’36.5″E
map https://goo.gl/maps/MNhGRPf6pXC2
เราจองที่พักที่โฮมสเตย์นี้ครับ ตามรอยหมอตะลุยโลก ถามทางมาจากบ้านละว่าให้เปิดกูเกิลแมบ ป้อนชื่อ Berastagi Nachelle Homestay แล้วนำทางมาเลย พอมาถึงแล้วให้เลี้ยวขวาผ่านประตูนี้เข้าไป
เจ้าของเป็นสองสามีภรรยา ภรรยาออกมารอต้อนรับ พอเข้าไปในบ้านเท่านั้น ตะลึง สะอาดน่าพักกว่าที่มโนไว้หลายเท่า จริง high recomment เลยที่นี่ ค่าห้องพักก็มีสองสามราคาตามขนาดห้อง แต่เฉลี่ยแล้วก็ห้องละ 6xx กว่าบาท นอนได้ห้องละสองคน
ในภาพ คุณภรรยาเจ้าของกำลังอธิบายแพลนและค่าใช้จ่ายสำหรับมิชชั่นพรุ่งนี้ นั่นคือ เทรกกิ้งขึ้นภูเขาไฟ Sibayak
เจ้าบ้านชี้แจงว่ารถของพวกเราไปไม่ได้ ต้องใช้ 4WD เค้ามี 4WD สามีเค้าจะเป็นคนขับไปให้และจะเป็นไกด์นำทางขึ้นไปให้ด้วย คชจ.ทั้งหมด คิดที่ คนละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 2000 รับเงินไทยได้ อ้อ เจ้าบ้านน่ารักมาก อัธยาศัยดีเลิศ สำหรับวันแรกของเราก็จบลงตรงนี้ครับ พักผ่อนหลับนอน เตรียมตัว ตีสี่สิบห้า เป็นเวลานัดหมายออกเดินทางไปซิบายัค
ส่วนนี่ เป็นเพจของโฮมสเตย์ ที่นี่ต้อง ib จองนะครับ ไม่มีใน booking หรือ agoda
จบ Day1 _________________________________
DAY2
Trekking mount SIBAYAK, ชมน้ำตก Sipiso-piso waterfall , ขับรถเลาะ Lake Toba, ข้ามฟากสู่เกาะ Samosir island
เริ่มต้นกัน 4.15 ผมนี้สะดุ้งตื่นเลย นาฬิกาไม่ปลุก ทุกคนพร้อมกันอยู่ข้างล่างละ น้ำลูบหน้า แปรงฟัน ใส่เสื้อผ้าแล้วลงมาเลย ใช้เวลาแป๊บเดียวก็พร้อมออกเดินทาง วันนี้ได้เจอหน้า Abdy ละ เจ้าของโฮมสเตย์ หลังจากคุย ib กันมาตั้งแต่ก่อนเดินทาง ตัวจริงหน้าตาเป็นมิตรกว่าตัวอักษรมาก 555 ยิ้มเก่ง มุกตลกเยอะจัด
รถห้อออกจากโฮมสเตย์มาได้สักระยะ ถนนก็เริ่มบีบแคบ แคบมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นทางไต่เขา ผิวทางโคตรไม่ดี เริ่มรู้สึกคุ้มค่ามากที่จ้างรถมา กระทั่งมาถึงจุดหนึ่งในความมืด แรม 10 ค่ำ Abdy ก็ซุกรถเข้าข้างทาง ถึงแล้วสินะ แต่ถนนยังไม่สุดนี่หว่า Abdy ส่องไฟให้ดู โอ้ว ถนนขาด เราต้องไปต่อด้วยการเดินเท้า ครึ่งกิโลเมตรก่อนถึงจุดเริ่ม Trekking
บรรยากาศระหว่างขึ้น ยิ่งเดินสูงขึ้นไป ยิ่งมีเสียงคำรามก้องของอะไรบางอย่างอยู่ไกลๆ เครื่องปั่นไฟเหรอ อะไร ยังไง Abdy บอกว่าเด๋วรู้เอง เพราะหัวเราะ 555
นี่ครับ แผนที่เส้นทางสู่ Mount Sibayak ภูเขาไฟที่ตั้งอยู่เมือง Berastagi เด่นๆ หลักๆ ก็จะมีสองแห่ง คือ Sibayak กับ Sinabung รายหลังนี่เด่นและดังกว่าเยอะ หน้าตาคล้ายเมาท์ฟูจิ แต่ระยะหลังมานี้พี่แกปะทุบ่อย ตอนนี้เรียกว่าแทบจะปะทุรายวันกันเลยทีเดียว ผมเดินทางมานี่ก็ด้วยสิ่งนี้แหละ อยากมายืนดูมันปะทุ แต่แล้ว! ไหงมันต้องมาหยุดปะทุในวันเรามาเยือนด้วยฟร๊ะ แง่มๆ
จากแผนที่ เส้นทางออกจากโฮมสเตย์ไปหน่อยก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอย (ตรงแยกวงเวียนที่มีอนุสาวรีย์) แล้วจากนั้นเส้นทางก็จะเล็กลงไปเรื่อยๆ จนไปไต่เขาขึ้นไปเกือบถึงจุดเทรคกิ้งที่ระดับความสูง 17xx เมตร แล้วเทรคขึ้นไปหน่อยเดียวครับ โลกว่าๆ ก็ถึง แต่ไม่ได้ถึงยอดสูงสุดนะครับ ถึงแค่ปากปล่อง
เมาท์ซิบายัคนี้ที่อีกด้านหนึ่งทางฝั่งทิศเหนือ จะมีสุดยอดน้ำตกแห่งนึง ชื่อนิคเนมว่า Two Color waterfalls เป็นน้ำตกที่สวยมากๆ พวกเราตั้งใจจะไปกันแต่ Abdy บอกว่าหน้านี้ไม่ใช่ฤดูที่จะเข้าไป น้ำเยอะเกินจะเข้าไปได้ คือมันต้องเดินเท้าเข้าไปครับ ไปกลับประมาณ 5-6 ชั่วโมง ต้องมาหน้าแล้ง ใครอยากเห็นว่า น้ำตกนี้งามขนาดไหน คลิกลิงค์นี้ https://goo.gl/iF3Txd
Mount sibayak
gps: 3°14’23.2″N 98°30’21.3″E
map: https://goo.gl/maps/kmGSH5KXvtK2
6 โมงเศษๆ Abdy ก็พาเราเดินมาถึงปากปล่อง เสียงคำรามของสสารคล้ายแรงดันจากเครื่องปั่นไฟยังคำรามตลอด แต่ความสว่างก็เฉลยให้เราได้รู้แล้วว่าเจ้าต้นเสียงนั้นคือ… พวยก๊าสจากแรงดันของภูเขาไฟครับ มันพ่นปุ่งๆๆๆ ออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ ตอนนี้เรายังจะไม่เฉี่ยวลงไปดูใกล้ๆ ไกด์เราพารุดหน้าต่อไปจนสุดขอบปล่องที่ด้านนอก อันเป็นหน้าผาฝั่งทิศตะวันออก มารอดู Sunrise กันนี่เอง เราใช้เวลาเดินสบายๆ กันทั้งหมดชั่วโมงเศษๆ กับระยะทางรวมทางถนนขาดด้วย สองกิโลเมตร
ภาพนี้ถ่ายก่อนตะวันขึ้น 15 นาที ฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ
มุมฝั่งที่หันไปรอชมตะวันขึ้น ก็จะประมาณๆ นี้ สำหรับอากาศก็ เย็นๆ ค่อนไปทางหนาว ประมาณสิบกว่าองศา เพื่อนผมบางคนงี้ใส่สามชั้นขึ้นมาเลย 555 แต่ผมใส่ตัวเดียว กะแจ๊กเกจบางๆ กันลมอีกตัว เอาอยู่ เพราะเวลาเราเดินร่างกายก็ร้อนละ
สุดยอดครับ ภูเขาไฟ Sibayak
ภูเขาไฟที่ยังไม่ตาย เห็นควันพวยพุ่ง โอ้วจ๊อดบั๊บว่ามันยอดมากฟิลนี้ ไม่คิดว่าข้ามฟากจากไทยมานิดเดียวจะได้มาเห็นสิ่งนี้ ภูมิประเทศที่ไม่มีโอกาสได้เห็นในบ้านเรา
พระอาทิตย์ขึ้นมานั่นแล้วครับ Abdy ยืนอยู่นั่น หมอนี่ชอบเล่นกล้องเช่นกัน ถ่ายภาพก็ฝีมือดีอยู่ และผลงานที่น่าติดตามที่สุดก็คือบันทึกภาพนาทีระทึกใจของภูเขาไฟ Sinabung จากบนดาดฟ้าโฮมสเตย์ของเค้า Abdy จะค่อยบันทึกภาพอยู่เรื่อย ภาพนิ่งบ้าง ไทม์แลปบ้าง คลิบบ้าง บางภาพก็เห็นลาวาทะลักครักๆๆๆออกมา ภาพคลิบก็หูย ควันระเบิดสูงพุ่งขึ้นฟ้าเป็นกิโลๆ ดูผลงานได้จากเพจที่ผมให้ไว้ข้างบน หรือไปดูบนอินสตาแกรมเค้าก็ได้ ลิงค์ครับ https://www.instagram.com/nachelle_homestay/
อีกฟากหนึ่งของปากปล่อง สูงขึ้นไปจากจุดที่เรายืน มีกลุ่มนทท. ไต่ไปรอชมตะวันบนน้นด้วย สำหรับบริเวณนี้เราจะไม่เห็นจุดสูงสุดของ Sibayak นะ ไม่รู้ว่าเค้านิยมไปกันมั้ย Abdy เพียงแต่พาเรามาชมปากปล่อง ซึ่งเราก็พอใจเพียงแค่นั้นครับ เพราะแค่นี้ก็ใช้เวลาตามแพลนจะกลับไปถึงโฮมสเตย์อีกครั่งเก้าโมงเช้า แล้วเราต้องขับรถตะลอนไปอีกเป็นร้อยโล เพื่อจะไปปลายทางที่เมืองต่อไป ใช่แล้วครับ เราอยู่ Berastagi เพียงแค่คืนเดียว ซึ่งจริงๆ แล้วมันควรจะสองคืนเป็นอย่างน้อยครับ
อันที่จริงแล้ว บนนี้เป็นจุดชม Sinabung ที่ดีสุดๆ จุดนึงนะครับ เนื่องจากว่ามันสูงไล่ๆ กับ Sinabung แต่เจ้ากรรมวันนี้ไม่ใช่วันของเราอย่างแรงสุดขีด แม้จะต้องขอบคุณฟ้าที่ไม่เทฝนลงมา คือทริปนี้เรากลัวฝนที่สุดครับแต่การกลับกลายเป็นว่าฟ้าใส ไร้ฝน แต่ขอบฟ้ามันขุ่นมาก หมองอย่างแรง จนกลืนภูเขาไฟซินาบุงหายไปทั้งลูก แอ็บดี้พยายามชี้มือให้ดูว่าอยู่ตรงโน้น เห็นมั้ยๆ มันลางๆ ว่ะ แต่ก็พอจับสังเกตได้และถ่ายด้วย 400 mm. เอากลับบ้านมาเปิดบนคอม ใช้ ps ทำ dehaze ดู นั่นไหมล่ะ เจ้าชินาบุง พ่นควันพวยพุ่งออกจากปากปล่องอยู่นั่น
หลังจากชมอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ได้เวลาไปชมปากปล่องครับ ย้อนทางเดิมลงไปนิดนึง แล้วก็ตัดข้ามฟากไปเลย
กลุ่มควันตลบอบอวลไปหมด เสียงกึกก้อง และกลิ่นก๊าสที่คล้ายๆ ก๊าสไข่เน่า
มาชมกันครับ คลิบ เสียดายที่สุดคือผมลืมบันทึกเสียงมันครับ ร้องไห้หนักมาก
ถ่ายเล่นสาละวนอยู่ตรงนี้นานมาก 555 สนุกดี แปลกตาด้วย ตรงไหนมีรูเล็กๆ มันก็จะมีควันพุ่งออกมา
นี่ครับ รูเล็กๆ แบบนี้ ไอ้รูนี้แหละ เจ้าของเสียงกึกก้องกัปนาทลั่นภูเขา ที่เราได้ยินตอนเทรคฝ่าความมืดกันขึ้นมาแล้วนึกว่าเครื่องปั่นไฟ
ยืนจุ๊ยกับควันภูเขาไฟซะหน่อย
เดินลงกันครับ
บนนี้มีคนมาแค้มป์ด้วยนะ
Home is not where are you from นะครับ
It is where you are belong
Push your fear aside
Keep your dream alive
คำนี้เอามาจากฝาผนังที่พักบนเมาท์คินาบาลู good words สำหรับกระตุ้นให้คนเราออกเดินทาง อ้อ ลืมบอกไป ควันก๊าสพวกนั้นเย็นๆ ครับ คือไม่มีความร้อนเลย ผมล่ะมึนตรึบ เฮ้ย นึกว่าจะตอนร้อนจี๊ดไรงี้
ทริปนี้ตอนแรกว่าจะใส่แตะหูหนีบมาครับ ถอย kito มาคู่นึง แต่พอรู้ว่าต้องมีเทรคด้วยเบาๆ แต่ดูจากรีวิวแล้วทางอาจจะไม่เบา มีปีนป่ายหินด้วย จำตอนขึ้นภูเขาไฟฟูจิได้ ทางหินๆ มันเดินยาก ก็เลยเอา Keen Targhee Explorer มาทดสอบหน่อย ตอนปีนฟูจิขาผมระบมชนิดที่ว่าถอดรองเท้ามาไม่กล้าเปิดถุงเท้า กลัวเล็บหลุดติดมาด้วยสิบเล็บ คือดันผ่าไปใส่รองเท้าผ้าใบ ซึ่งเอาจริงๆ รองเท้าที่เหมาะคือพวก hiking boot หลังจากนั้นไปปีนคินาบาลูก็เลยรีบไปถอยไฮกิ้งบูทมาคู่นึง เดินดีจริงแหละครับ แต่ประสบปัญหาตอนขาลง ตรงที่หุ้มข้อมันเสียดสีกับเอ็นร้อยหวาย ตายเลย ต้องร่นสนับเข่าลงไปกองที่อุ้งเท้า เพื่อจะได้เพิ่มกันชนตรงร้อยหวาย ไม่งั้นเดินต่อไม่ได้ คือมันเจ็บทุกก้าว
มาคราวนี้เลยรู้ละว่ารองเท้าเทรคกิ้งนี่แมร่งต้องทดสอบตอนขาลง แล้วหนนี้ก็ดีต่อใจครับ ผ่านฉลุย เอ้อ ค่อยยังชั่ว ตามหามานาน
อีกอุปกรณ์หนึ่งที่ไม่อยากขาดครับ Pole stick หรือไม้เท้าเดินป่า ภูเขาแบบนี้หากิ่งไม้คงยาก และรู้ข้อดีสุดติ่งจากการมีไม้เท้าเวลาเดินมาละ มันช่วยพยุงร่างและผ่อนน้ำหนักลงได้ดีมากๆ ไม่งั้นขาของคุณจะเป็นเพียงอวัยวะส่วนเดียวที่รองรับน้ำหนักทั้งหมด ซึ่งมันทรมานสังขารเกินไปและเกินวัยด้วยครับ แต่ถึงกระนั้นผมก็ถนัดใช้ไม้ข้างเดียวมากกว่าต้องพกสองข้าง เพราะว่าอีกมือหนึ่งก็ต้องถ่ายภาพ ไม้เท้าเดินป่าจากร้าน Pathwild รุ่น KR ครับ แม้จะสั้นไปนิด แต่เหมาะเหม็งสำหรับคนตัวสั้นๆ อย่างผม และผมว่าเหมาะกับผู้หญิงที่ไม่สูงโหย่งด้วยนะ ข้อดีอีกอย่างคือมันเป็น z fold คือพับได้ หักๆๆๆ เข้าไป เหลือสั้นๆ เก็บง่ายไม่เกะกะ
Mount Sibayak มองย้อนกลับไปทางปากปล่องครับ ภาพสุดท้ายก่อนจะหันหลังให้มัน มุ่งหน้ากลับลงไปที่รถ
แผนที่ 3d map เมือง Berastagi และภูเขาไฟทั้งสองลูก Mount Sinabung and Mount Sibayak อ้อ มีเขาเล็กๆ อีกลูกชื่อว่า Gundaling Hill เป็นจุดชมวิวภูเขาไฟทั้งสองลูกได้ดีครับ บนยอด hill นี้เป็นส่วนสาธารณะประจำเมืองนี้ เย็นๆ คนจะขึ้นมาบนนี้กันเยอะ ขากลับเราได้แวะมาด้วย
ย้อนกลับลงมาในเมือง Berastagi เมืองนี้สูงประมาณ 14xx จากระดับน้ำทะเล อากาศดีครับ เป็นเมืองตากอากาศได้สบายๆ อากาศดีตลอดปี มีรีสอร์ทใหญ่ๆ ผุดอยู่พอสมควร อนาคตเจริญเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศํกยภาพแน่ แต่ตอนนี้ยังอีกไกล ว่าแล้วนาย Abdy ก็กดแตรปริ๊นๆๆๆๆ ฝ่าการจราจรที่มั่วซั่วมาหาข้าวมื้อเช้ากิน
เป็นร้านคนจีน เมืองนี้มีคนจีนมาตั้งรกรากอยู่พอควรเชียวล่ะ
อาหารที่สั่ง คล้ายไทยมาก 555 มาอินโดไม่ต้องกลัวอดตาย
จากนั้นก็พาไปหาจุดชมวิวภูเขาไฟชินาบุงอีกจุดนึง คือ Abdy ก็อยากให้เราเห็นชัดๆ นะครับ
ในเมืองรถม้าเยอะมาก
และแล้วก็นี่ครับ จุดชมวิวชินาบุง ตรงภูเขา Gundaling นี่มุมลับของนาย Abdy เลยนะเนี่ย บอกว่ามาตั้งกล้องที่นี่ประจำ เป็นมุมสูง แล้วก็ชี้มือให้ดู นั่นไงๆ เห็นมั้ย 5555 เห็นแล้ว แต่ว่ามันจางมากกกก ภาพ before and after ให้ดูว่าผมต้องไปใช้ dehaze ในโฟโต้ช็อปอีกแล้วถึงจะพอมองเห็นชินาบุงขี้อายขึ้นมาบ้าง เฮ้อ เส้าแพ๊บ ณ เวลานั้นพวกเราฝากความหวังทั้งหมดไว้กับวันขากลับที่จะต้องขับผ่านเมืองนี้มาอีกครั่งครับ ลุ้นฟ้าให้ใสจนพอจะได้เห็นชินาบุงเป็นๆ บ้าง
พาชมโฮมสเตย์
Berastagi Nachelle Homestay
พักอยู่กับเจ้าของเลยครับ สองสามีภรรยาที่เฟรนด์ลี่มากๆ มีห้องพักหลายห้อง จุดเด่นเลยก็คือโคตรสะอาดครับ น่าพักที่สุด อ้อ ห้องน้ำ ชักโครกเนี่ยระบบกึ่งๆ ญี่ปุ่นเลย แบบไม่ต้องมีสายชำระ เอ้อ ดีแฮะ ที่เด็ดสุดที่เจ้าของคุยไว้ว่าเป็นจุดขายของเค้าก็คือดาดฟ้าครับ บนดาดฟ้าเค้าเป็นจุดชมวิวภูเขาไฟทั้งสองลูก และเป็นฐานหลักที่นายแอ็ปดี้ใช้เป็นที่บันทึกภาพปรากฏการณ์ต่างๆ ของภูเขาไฟชินาบุงด้วย แต่วันนี้ยืนบนดาดฟ้าก็มองไม่เห็น เช่นเดียวกับจุดอื่น ชวดทุกจุดเพราะอากาศที่บัดซบอย่างที่เห็น ผมเห็นแฮ๊บเอาภาพภูเขาไฟชินาบุงจากเพจโฮมสเตย์นั่นแหละ มาแปะไว้ให้ดูว่าถ้าอากาศดีดีเราจะเห็นแบบนี้ จากบนดาดฟ้าอย่างนี้
เอาล่ะครับ ได้เวลาเดินทางต่อ โบกมือบ๋ายบายนายแอ็บดี้และศรีภรรยา กับเด็กๆ ลูกๆ ที่น่ารักของพวกเค้า พร้อมออกเดินทางต่อ สู่ทะเลสาบ Toba
แผนที่เส้นทางวันนี้ Berastagi – แวะดูน้ำตก Sipiso-piso – ขับเลาะทะเลสาบ Toba – ไปขึ้นเรือขนานยนต์เฟอรี่ที่เมือง Parapat – ข้ามสู่เกาะ Samosir จองที่พักสำหรับคืนที่สองไว้ที่นั่น
ระหว่างทางเราแวะซื้อส้มครับ ถูกกว่าไทย อร่อยไม่แพ้กัน วางขายริมทางเต็มไปหมด
ทะเลสาบ Toba
ทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ
gps: 2°54’57.4″N 98°31’24.7″E
map: https://goo.gl/maps/Ey9nBwjSus52
ถึงแล้วครับ มุมแรกเห็นทะเลสาบโตบา อันซีนสุดๆ แม้อากาศจะทำให้ความงามมันดร็อบลงร้อยเท่าก็ตาม แต่ภูมิประเทศแบบนี้น่าตื่นตามากครับ ลองนึกภาพตามอย่างนี้ ตั้งแต่เราออกจากเมดัน ไต่ๆๆๆ ขึ้นมาถึงระดับ 1400 เมตร เจอเมืองเบอราสทากิ เมืองซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบสูง ออกจากเมืองเราก็ยังแล่นอยู่บนที่ราบสูง แต่แล้วเมื่อมาถึงตรงจุดนี้ มันเหมือนสุดขอบที่ราบสูงอย่างกระทันหัน วิวข้างหน้าที่เหมือนภูเขาเต็มไปหมด มันคือขอบของที่ราบสูง ที่เบื้องล่างนั่นคือทะเลสาบขนาดใหญ่มาก ทะเลสาบที่ผิวน้ำอยู่บนความสูง 900 เมตรจากระดับน้ำทะเล สูงพอๆ กับทะเลสาบอินเลที่พม่า แต่กำแพงภูเขารอบด้านเนี่ยทำให้ซีนตรงหน้ายังกับยืนอยู่ Queenstown เกาะใต้ นิวซีแลนด์ ผิดกับแต่ตรงนี้เป็นอากาศแบบใกล้เส้นศูนย์สูตร
นาทีนี้เรามองหน้ากับ สลับมองวิวข้างหน้า อยากกลับมาใหม่ครับ มาในวันดีดีกว่านี้ เข้ากูเกิ้ลดู best time for visit lake toba
คำตอบคือ Best time to go Lake Toba is May when the weather is changing from slightly cool to warm
พค. สินะ นี่เรามาเร็วไปไตรมาสนึง
ชมวิวไปเรื่อยๆ เมืองเล็กๆ ที่เห็นข้างล่างนั่นคือ Tongging Village
Sipiso-piso waterfall
gps: 2°54’57.4″N 98°31’24.7″E
map: https://goo.gl/maps/Ey9nBwjSus52
น้ำตกที่ตกจากปากปล่องภูเขาไฟโบราณ เป็นน้ำตกที่กำเนิดจากระดับแม่น้ำใต้ดิน โจนจากผาลงมาบนความสูงกว่า 120 เมตร จัดว่าเป็นน้ำตกที่สูงอันดับต้นๆ ของอาเชียน ไม่รู้ว่าเป็นอันดับหนึ่งหรือเปล่าไม่แน่ใจ
น้ำตกนี้สามารถเดินลงไปได้ มีทางเดินลงไปถึงข้างล่าง แต่ถ้าไม่มีเวลาเดินก็สามารถยืนชมห่างๆ จากจุดชมวิวตรงนี้
พิกัดจุดชมวิว gps: 2.915964, 98.523197
จากนั้นก็เดินทางต่อ ปลายทางอยู่ท่าเรือเฟอรี่เมือง Parapat แต่เส้นทางที่จะไปตอนนี้สับสนมาก คือมันมีหลายระนาบมาก จะแล่นบนระนาบบนสุดของที่ราบสูงก็ดูหลายช่วงมันห่างทะเลสาบคงจะไม่เห็นวิว จะไปแล่นระนาบล่างสุดติดขอบทะเลสาบเลย ก็กลัวว่าเส้นทางจะไม่ตลอดรอดฝั่ง เลี้ยวไปเลี้ยวมาอาจไม่ทันเฟอรี่เที่ยวสุดท้าย นี่มองดีดีก็มีระนาบกลางๆ อีก โอย คืออยากมีเวลาเยอะๆ กว่านี้
สุดท้าย เราก็ตัดสินใจวิ่งระนาบบนสุดครับ กูเกิลแมบมันบอกว่าจะมีบางช่วงพอได้เฉี่ยวๆ เห็นวิวทะเลสาบบ้าง ตรงไหนทำเลดีดีวิวสวยๆ จะมีร้านรวงเหมือนบ้านเราล่ะครับ จอดรถชมวิว ถ่ายรูป อุดหนุนของกินกันได้เลย ราคาก็ชาวบ้านๆ
Lake Toba ในวันฟ้าไม่เป็นใจ ….. แต่ก็สวย
ท่าเรือเฟอรี่ เมือง Parapat
gps: 2.654289, 98.934187
map: https://goo.gl/maps/Ey9nBwjSus52
ถึงแล้ว เมือง Parapat ขับเข้ามานี่รู้สีกเลยว่าเป็นเมืองใหญ่ เมืองท่องเที่ยว บรรยากาศดีจนอยากค้างที่นี่ก่อนสักคืน
รถต่อแถวกันยาวเหยียด เพื่อรอลงเฟอรี่
พิกัดท่าเฟอรี่ gps: 2.654100, 98.933892
ข้อมูลที่ได้มาบอกว่าเฟอรี่เที่ยวสุดท้ายที่จะข้ามฟากไปเกาะ Samosir คือเที่ยว 17.30 ทำให้เราต้องเร่งทำเวลามา
แต่เอาจริงๆ พอมาถึงแล้วดูจากป้ายและถามคน เที่ยวสุดท้ายที่จะข้ามไปเกาะคือ 21.00 ส่วนที่จะ
ข้ามจากเกาะกลับมาคือ 19.30
ค่าข้ามเรือทั้งหมด 120,000 idr รถหนึ่งคัน คนสี่คน คิดเป็นเงินไทยก็ 263 บาท
ระหว่างรอข้ามฟากก็หาไรกิน คือมันรอนานมาก นานเป็นชั่วโมงเพราะแถวยาว ลำเดียวไปไม่หมด ต้องรอเที่ยวที่สองถึงจะได้ขึ้น
หมูสะเต๊ะครับ รสชาติแปลกๆ แต่ก็ฟาดเรียบ ฟาดไปคนละจาน (แม้แต่ชื่อร้านหมูสะเต๊ะยังเขียนออกเสียงว่าสะเต๊ะ)
18.10 ครับ ได้เวลาลงเรือสักที รอครบชั่วโมงพอดี
ต้องถอยหลังขึ้น
สู่ความเวิ้งว้าง
สู่เกาะ Samosir
ระยะทางข้ามฟาก 8 โล ใช้เวลาข้ามฟากชั่วโมงนึง จอดรถทิ้งไว้เบียดๆ ดับเครื่องแล้วขึ้นไปนั่งๆ นอนๆ ข้างบน
มาถึงที่พักเสียที เราจองที่พักไว้ที่
Toba Village Inn
http://www.tobavillageinn.com/en/Welcome.aspx
ราคาย่อมเยาว์อีกเช่นเคย ห้องคืนละหกร้อยกว่าบาท นอนได้สองคน เช็คอินแล้วก็เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามเป็นร้านอาหารตามสั่ง
นี่ครับ หน้าตาอาหาร บ้านๆ เหมือนบ้านเรา แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือ มีน้ำปลาพริกด้วย โอ้ว มันซะไพร๊มว้าก 555
มองกลับไปฝั่งตรงข้าม นั่นครับ ที่พักด้านหน้า อยู่ริมถนน สร้างยาวลึกเข้าไปจนติดทะเลสาบ
Day 3
Good Morning เกาะ Samosir
เช้าวันใหม่ ระหว่างรออาหารมื้อเช้า อ้อ ราคาห้องพักที่นี่รวมอาหารเช้าครับ
ภาพนี้คือวิวหน้าที่พัก ศาลาเล็กๆ ปลายสะพานเทียบเรือ มีเรือแล่นเข้าออกรับส่งนทท. อยู่ คงจะแบบพวกที่มาโดยไม่ได้ขับรถข้ามมา
บรรยากาศที่พักครับ Toba Village Inn
หรูหราพอสมควร เหมาะสำหรับพักผ่อนอย่างยิ่ง แต่เราไม่ได้มาเพื่อสิ่งนี้ครับ Road trip มันต้องดำเนินต่อไป ที่พักแค่พอให้หลับพักผ่อนสบายๆ ก็เพียงพอแล้ว เดิมที่จองที่ Mass Cottages ไว้ ดูจากรีวิวแล้วชอบสถานที่ แต่ไม่มีระบบคอนเฟิร์มที่พักว่าได้หรือไม่ได้ ก็กลัวมาแล้วแห้ว เลยเปลี่ยนมาเลือกที่นี่ จองผ่านพวก booking agoda
เส้นทางวันนี้เราจะขับรถทวนเข็มนาฬิกาวนรอบเกาะ Samosir ด้านเหนือ แวะหาดสักหาด แล้วข้ามกลับฝั่งทางด้านหลังของเกาะ ตรงนั้นจะมีสะพานข้าม แล้วจะขึ้นจุดชมวิว Tele Tower ชมวิวทะเลสาบมุมสูง จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับ Berastagi โดยจะแวะจุดชมวิวทะเลสาบอีกจุด ที่เป็นรีสอร์ท เมื่อถึง Berastagi เราจะลุ้นให้เห็นภูเขาไฟชินาบุงกันอีกทีที่นั่น หวังใจไว้ว่าจะได้มองเห็นชัดๆ ลาวาไม่เอาแล้วไม่ต้องเห็นก็ได้ จากนั้นก็ดิ่งตรงกลับไปค่ำแถวสนามบิน จองที่พักใกล้ๆ สนามบินไว้ นัดคืนรถเลทสุด
เดินทางกันเลย วันนี้ต้องไปยาวๆ
วิวทะเลสาบข้างทาง บนถนนสายรอบเกาะ
ขับผ่านอะไรน่าถ่ายก็จอดถ่ายไปเรื่อย
ที่แรกที่เราแวะคือ Batu Hoda Beach
gps: N2.75981° E98.72481°
map: https://goo.gl/maps/HkPiFj4MkkF2
เป็นหาดเล็กๆ บนหัวเกาะ ด้านเหนือสุดเลย อ่านรีวิวมามันเป็นชายหาดนะ แต่หาดไปไหน! สงสัยจะน้ำขึ้น หาดหายหมด เลยเดิมชมทุ่งนาริมหาดเล่น
นาสวยมาก ปลูกแถวนี้คงสบายเลย น้ำท่าสมบูรณ์
นั่งคอตกกันไป ไม่เจอชายหาด
ควายยังมองว่าพวกเอ็งมาทำอาราย เฮ้ย เด๋วๆ มีควายด้วย เอาไว้ใช้ไถนาด้วยเปล่าไม่รู้
แล้วเราก็เดินทางต่อสิครับรออัลไล
ระหว่างทางก็เจอไรแปลกตาไปเรื่อย ส่วนสิ่งนี้ เห็นตลอดทางหลายจุด ไม่อยากเดา อ่ะเอาหน่อยละกัน ฮวงซุ๊ยมั่ง
ขับไปอีกนิด เบรคเอี๊ยด เจอป้ายชายหาดอีกแห่งนึง แค่บอกว่าเลี้ยวเข้าไปจะเจอ beach นะ แต่ไม่รู้ชื่อหาดอะไร ไหนๆ ชวดหาดแรกก็เลยเค้ามาเสี่ยงดวงหาดที่สอง ก็พอใช้ได้ สวยกลางๆ ถึงล่างๆ 555 คือจริงๆ มันจะสวยอลังถ้าฟ้าแจ่มกว่านี้ไง คือมันจะเห็นถึงภูเขาใหญ่ยักษ์ข้างหลัง ซึ่งก็คือที่ราบสูง Karo ที่เราแล่นรถผ่านเมื่อวานก่อนจะเลาะหน้าผาลงไปท่าเฟอรี่ที่เมือง Parapat นั่นแหละ
map: https://goo.gl/maps/BKqLSH855tF2
เนี่ย ของจริงจางมาก เกือบไม่เห็นภูเขา อันนี้ dehaze ลบหมอกควันของ ps ตามเคย
ตรงนี้อ้อมกลับมาด้านตะวันตกของเกาะละ ก็จะเห็นฝั่งข้างโน้นใกล้เข้ามาเยอะเลย เนื่องจากว่าเกาะ Samosir มันเบียดขวานั่นเอง อ่ะ สวยๆ ใช้ได้ จอดถ่ายกันอีกรอบ กับทุ่งนาเขียวๆ ฉากหลังทะเลสาบ Toba
ข้ามกลับมาแล้วครับ พอถึงฝั่งทางก็เลิกไต่ขึ้นละ เพราะอย่างที่บอก ขอบทะเลสาบแทบทุกด้านคือปากปล่องภูเขาไฟ ภูมิประเทศคล้ายดั่งกำแพงภูเขารอบด้าน เราต้องไต่กลับถึงไปถึงที่ราบสูงข้างบน ถึงจะเจอถนนใหญ่ที่พากลับเมือง Berastagi ที่อยู่ข้างบนเหมือนกัน แปลกดีใช่มั้ยครับแบบนี้
ภาพนี้วิวที่เห็นไกลๆไปจนสุดขอบขวานั่นคือเกาะ Samosir มุมมองย้อนกลับจากฝั่ง
อีกมุมหนึ่ง อันนี้มองมาทางซ้าย เข้าหาฝั่ง ให้เห็นว่าชายฝั่งนั้นสูงชันเป็นภูเขาลักษณะไหน มีกระชังปลาให้เห็นทั่วไปบนทะเลสาบโตบานี้
จังหวัดนี้ เราเจอโบสถ์มากมายเหลือเกิน ตรงกันข้ามกับมัสยิดที่เจอน้อยมาก
โดยเฉพาะแถว Samosir นี่ อินโดนีเซียคือประเทศที่มีชาวมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ที่สุมาตรานี้ ดูเหมือนชาวคริสจะเยอะกว่าเป็นพิเศษ
เส้นทางไต่ความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ครับ จากริมฝั่งตะกี้ที่ 900 เมตรตอนเราข้ามสะพานเล็กๆ ที่เชื่อมเกาะ
จนตอนนี้ไต่ขึ้นมาแต่ระดับ 1600 เมตรเรียบร้อยแล้วในระยะทางเพียง 19 กิโลเมตร ตรงนี้ใกล้แตะขอบหลังแป ขอบที่ราบสูง Karo แล้วและก็เป็นที่ตั้งของสถานที่ที่เรียกว่า
Tele Tower
gps: N2.55206° E98.63978°
map: https://goo.gl/maps/t7LXdUK7Qe62
ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,590 เมตร
อันเป็นจุดชมวิวทะเลสาบ Toba มุมสูง ยอดนิยมอีกแห่งนึง ไม่พลาดครับ หาที่จอดรถแป๊บ
ได้ละ ที่จอดรถ อื้อหือ ดูโน่น มุมข้างหน้านั่นมีน้ำตกอีก มีป้ายบอกว่าจะไปน้ำตกนั้นระยะทางเพียง 3 กิโล แต่มันอยู่นอกแผนครับ และแผนเราตอนนี้ถูกบังคับด้วยเวลาที่จำกัดมาก ฝากไว้ก่อน
จ่ายค่าเข้านิดหน่อยครับ 2000 idr เทียบเป็นเงินไทยก็ 4 บาท พอขึ้นมาถึงก็ โห นั่น น้ำตกไม่ได้มีแค่แห่งเดียวนะ ให้ตายสิ เชื่อแน่ว่ารอบทะเลสาบนี่ต้องมีน้ำตกมากมายแน่นอนเลย
อีกข้างหนึ่งก็เห็นถนนที่เราตะกี้แล่นผ่านขึ้นมา โค้งไปโค้งมาสวยงาม
และนี่ก็คือวิวมุมด้านหน้า ภูเขาที่เห็นแหลมๆ สูงๆ คือ mount pusuk buhit เป็นแหล่งกำเนิดน้ำพุร้อน เป็นต้นกำเนิดชาวบาตัค และเป็นสถานที่ยอดนิยมที่คนเดินทางมาพิชิตยอดเขา ใครอยากรู้เรื่องราวก็อ่านต่อตรงนี้ http://www.gunungbagging.com/pusuk-buhit/
ซูมอินเข้าไปดู เป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยท้องนา
และที่อยากเห็นที่สุดคือมุมนี้ ทะเลสาบ Toba มุมสูง สวยอ่า
Tele Tower อีกมุม ชื่อเป็นทางการคือ Menara Pandang Tele
วิวถนนมุมสูงอีกด้านนึง หลังจากนั้นเราก็รุดหน้าเดินทางต่อ
ลงจากหอคอย Tele tower เราก็รุดหน้าต่อ อย่างไม่ให้เสียเวลา เพราะปลายทางคืนนี้ต้องคืนรถให้ทันที่สนามบิน กับระยะตอนนี้ที่ยังเหลืออยู่อีก 200 กิโลเมตร ซึ่งขามาเราก็เจอแล้วว่าแค่ร้อยกิโลเมตรเรายังต้องใช้ถึงสามชั่วโมง เหอะๆ
จุดหมายที่จะแวะต่อไปคือจุดชมวิวทะเลสาบมุมสูง ที่สวยสุดยอดอีกจุดจากการอ่านรีวิวมา นั่นคือ จุดชมวิวภายในรีสอร์ท Taman Simalem Resort ตำแหน่งตามมาร์คในแผนที่ข้างบน
และภาพนี้คือวิวแถวๆ นั้น ก่อนถึงทางแยกเข้ารีสอร์ทที่ว่า
นี่คือมื้อเที่ยงของเรา บ่ายสาม กับร้านค้าข้างทางที่นิยมตั้งกันตรงจุดชมวิว คือจุดไหนสวยจะมีร้างรวงตลอด นี่คือข้อดีของ road trip ครั่งนี้ 555 ถ้วยนี้ต้องขอบอก อร่อยมาก อร่อยกว่าที่คิดไว้เยอะ มันอร่อยกว่าบะหมี่ถ้วยบ้านเรา หรือว่าเราหิวมากก็เป็นได้
ขวามือตรงนั้นครับ น่าจะเป็น Taman Simalem Resort
ซูมเข้ามาดูใกล้ๆ อีกนิด เค้าว่ารีสอร์ทที่นี่เป็นเจ้าของภูเขาเป็นลูกๆ และเป็นทำเลชมทะเลสาบ Toba มุมสูงที่สวยมาก สวยกว่าตรง Tele tower หลายเท่า เพราะมุมเปิดสุดๆ แต่วิวฝั่งด้านเหนือของทะเลสาบมันสวย ด้านเดียวกับที่เราไปยืนชมทะเลสาบจากตรงจุดชมวิวน้ำตก Sipiso-piso เมื่อวานนี้นั่นแหละ เพียงแต่อยู่คนละฟาก
ลองมองดูดีดีนะครับ ภูเขาซ้อนกันเป็นชั้นๆ ลักษณะเหมือน Table land ที่ราบตั้งโต๊ะ เหมือนภูกระดึง ภูหลวง ผาเตลิ่น นี่ล่ะครับ แล้วมองตามแนวสันเขาลงไป ลงไปเรื่อยๆ แถวๆ หลังเสาไฟสูงๆ นั่น เห็นมั้ยครับ นั่นล่ะ ผืนน้ำของทะเลสาบ Toba ตลอดแนวหน้าผานั่นสูงไม่ต่ำกว่า 500 เมตรเลยนะครับ ทำให้เกิดวิวที่สวยสุดยอด แต่ ฟ้าหลัวครับ หลัวมาก ทริปนี้อากาศช่างใจร้ายเหลือเกิน และจะบอกว่า พค. คือเดือนที่ดีที่สุดในการมาเยือน Toba ครับ ไม่ใช่เดือนกพ.แบบที่เรามานี้ T T
เมื่อเราเลี้ยวรถเข้าไปรีสอร์ท เจอด้านเก็บตังค์ของรีสอร์ทครับ อ้าว ไม่ฟรีแล้วเหรอ อ่านมาเค้าบอกว่าเข้าฟรี อะไรไม่อะไรเก็บแพงด้วย หัวละน่าจะสองร้อยมั้งถ้าจำไม่ผิด ถ้าฟ้าแจ่มๆ จะใจปล้ำควักจ่าย แต่ฟ้าที่หลัวสุดตรีนขนาดนี้ถ้าต้องมาควักอีกสี่คนแปดร้อยดูจะเป็นการแลกที่ไม่คุ้มค่าเกินไปหน่อย
ก็เลยตัดสินใจไม่เข้าครับ กลับรถ โกโฮม มุ่งหน้าสู่ Berastagi อีกครั้งเพราะเป็นทางผ่านกลับเมดันและสนามบิน
เราจะไปลุ้นให้เห็นภูเขาไฟชินาบุงกันอีกครั้ง ด้วยความหวังสุดท้ายคือขอให้โชคช่วยบ้าง
สี่โมงครึ่ง เราก็เดินทางมาถึง Berastagi กันอีกครั้ง กับความหวังที่เริ่มเรืองรองขึ้นเป็นลำดับ เมื่อฟ้าใสขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ Mount Sibayak ตรงหน้าเรา ชัดแจ๋ว นั่นคือภูเขาที่เราไปเทรคกิ้งมาเมื่อวานนี้
นั่นไง เย้ ภูเขาไฟ Sinabung ชัดๆ เป็นๆ มีเค้ากรุ่นๆ ออกจากปากปล่อง
จุดเดิมกับที่ Abdy ซอกแซกพามา ที่เราย้อนกลับมาถูกเพราะว่าผมเซพพิกัดจีพีเอสไว้ แต่กว่าจะขับมาทับรอยเดิมได้มันก็ไม่ง่ายซะทีเดียว ไม่ใช่หลง แต่…
เราเจอกับด่านลอย ตั้งโต๊ะเก็บค่าผ่านทางของกลุ่มคนที่แต่งตัวไม่ค่อยเหมือนพนง.เท่าไหร่ คล้ายๆ วัยรุ่นชาวบ้านจับกลุ่มกันแบบนั้น และเจอถึงสองด่านด้วย เฮ้ย อะไรนั่น ผมลดกระจกแล้วบอกว่าจะผ่านทางเข้าไปถ่ายรูปแค่นั้น และเมื่อวานก็มาทีนึงแล้วไม่เห็นต้องเสียตังค์ พวกนั้นฟังแล้วก็งงเพราะผมใส่อังกฤษคำไทยคำ เลยส่ายหัวโบกมือให้ผ่าน ทั้งสองด่าน
จุดที่ Abdy พาไปตามภาพข้างบนนั้น เป็นมุมถนนเล็กๆ ไหล่ทางมีที่พอจอดรถได้สองคัน ถ้าคุณอยากตามรอยมา นี่พิกัด N3.18749° E98.50193°
แต่พอเราเปิดกูแม็บดูถึงได้รู้ว่า Abdy พามานั้นคือ Gundaling Hills ด่านที่สองที่เราเจอจะเก็บตังค์ตะกี้อาจจะเป็นด่านเก็บค่าผ่านทางขึ้นจุดชมวิว พอดีเราชี้มือไปอีกทาง (ตรงนั้นเป็นสามแยกตัว V ) เค้าเลยปล่อยผ่าน เดาล้วนๆ
มาถึงตอนนี้เมื่อรู้ว่าเหนือขึ้นไปอีกจะเป็นยอด Gundaling Hills ก็เลยทิ้งรถไว้ตรงนี้แล้วเดินย้อนกันขึ้นไปครับ ระยะทางประมาณกิโลกว่าๆ ข้างบนนี้เป็นสวนสาธารณะด้วย คนเยอะมาก ร้านรวงก็เยอะแยะ
Gundaling Hills
gps: N3.19311° E98.50088°
map: https://goo.gl/maps/SAxCAvHVjpy
สูง 1,483 m.
บนนี้คือจุดชมวิวภูเขาไฟที่มองเห็นได้ทั้งสองลูก Sinabung & Sibayak …. วิเศษมาก และนี่คือ ยอดซิบายัคจากบนนี้ หน้าตาดูดุดันลึกลับเร้าใจกว่าซินาบุงนะผมว่า
ส่วนนี่ก็คือ ภูเขาไฟชินาบุง มุมมองบนยอด Gundaling ได้มุมสูงกว่ามุมของแอ็บดี้
เอาจริงๆ อยากเห็นควันมันพุ่งทะลุฟ้าขึ้นมาสูงๆ นะ เหมือนอย่างที่มันปะทุถี่ๆ ก่อนเราจะเดินทางมา หรือเห็นลาวาแดงๆ ทะลักออกมาก็ยังดี
แต่เอาหน่ะ ได้เห็นแค่นี้ก็ดีแล้ว ดีกว่าวันแรกที่แทบมองไม่เห็นอะไรเลย แล้วอะไรรู้มั้ยครับ หลังจากเรากลับมาไทยไม่กี่วันแอ็บดี้ก็อวดภาพมันปะทุขึ้นมาอีก แล้วเพียงแค่อาทิตย์เดียว (20กพ.) ชินาบุงก็กลายเป็นข่าวใหญ่ ปะทุเดือน พุ่งพวยก๊าสทะลุฟ้าไปกว่า 7 กิโล ตามลิงค์ข่าวที่ผมแปะไว้ให้ดูด้านบนสุด
ภูเขาไฟชินาบุง ซูมเข้าไปดูใกล้ๆ
พิกัดยอดภูเขาไฟชินาบุง N3.16994° E98.39223°
map: https://goo.gl/maps/f32TgckJfUv
ตะวันลับเหลี่ยมเขา ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ แหม่ เสียดายนะ มันน่าจะตกกลางปล่องจะได้เป้็น Sinabung diamond head ให้มันรู้แล้วรู้รอด 555 พวกเราเดินกลับลงไปที่รถแบบเร่งสาวเท้า ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน แต่ไม่หิว อยากเร่งให้ทันคืนรถมากกว่า
มาเก็บอีกภาพนึงภาพสุดท้ายก่อนสตารทรถ เพราะเมฆกำลังแตกสวย
พอจะสตาร์ทรถเท่านั้น เพื่อนร้องเฮ้ย พี่ดู เมฆระเบิดสวย หันกลับไปเห็น จ๊าก รีบกางขาตั้งกล้องถ่ายใหม่
คืนนั้นเราคืนรถเลทไปชั่วโมงกว่า จ่ายชดเชยค่าเสียเวลาไปเล็กน้อย เปลี่ยนจุดนัดคืนจากสนามบินมาเป็นหน้าโรงแรมที่เราจองไว้ รถติดนรกโหดสลัด ติดเหลือเชื่อตั้งแต่เมือง Berastagi ยัน Medan เลย เหอะๆ
และนี่คือหน้าตาพี่พัก
The KNO Hotel ชื่อเดียวกับรหัสสนามบินเลย
พักัด 3.587622, 98.804667
map: https://goo.gl/maps/er2P864diFU2
อยู่ห่างสนามบินสิบโลเศษเท่านั้น สะดวก ไม่ต้องนอนค้างในหนามบิน
ราคาย่อมเยาว์ 6xx บาทอีกแล้ว คือทั้งทริปที่พักราคานี้หมด แต่ที่นี่เด็ดตรงที่นอกจากแถมอาหารเช้าแล้ว ….
ยังแถมรถรับส่งสนามบินด้วยครับ เด็ดตรงนี้แหละ
KNO Kualanamu International Airport
Departure Terminal Gate
ไฟล์ทบินกลับ 10.10 แอร์เอเชีย ตั๋วบอกบินสองชั่วโมง แต่เราจับเวลาแตะพื้นดอนเมืองได้ 1.42 ชม. เร็วเหมือนขามา แล้วเราจะกลับมาใหม่ ในวันเวลาที่ดีกว่านี้ และขอให้ชาว Berastagi และครอบครัวนาย Abdy ปลอดภัยจากภูเขาไฟชินาบุงด้วยนะครับ
และนี่คือภาพรวมสรุปเส้นทาง Road trip สุมาตราเหนือของเราในทริปนี้
Comments are closed.